ประเด็นร้อน
สังคมแบบ 'ผมเพื่อนโชค' กับ 'มึงรู้ไหม กูลูกใคร' สังคมคนไร้สติ แต่คลั่งอำนาจ
โดย ACT โพสเมื่อ May 12,2019
- - ขอบคุณข้อมูลจาก แนวหน้า - -
คอลัมน์ เขียนให้คิด : โดย เฉลิมชัย ยอดมาลัย
เมืองไทยยังมีคนคลั่งอำนาจหลงเหลืออยู่ในสังคม คนคลั่งจำพวกนี้ส่วนมากจะเป็นคนมีปมด้อย จึงต้องหาปมเขื่องมาปกปิดปมด้อยของตน
ล่าสุด สาธารณชนได้พบเห็นคลิป “ผมเพื่อนโชค” ที่หลุดออกมาจากปากของคนที่อ้างว่าตนเองเป็น“อธิบดีศาลอาญาทุจริตภาค 8 เพื่อนผู้กำกับโชคโทรฯ ไปเลย... โชคปัจจุบันนี้แหละ เพิ่งย้ายมาแทนคนเก่า... ทำไมมันจะเอาให้ได้ ก็เป็นอธิบดีจะค้นรถไหม... ฟ้องเลยถ้าไม่เจอของผิดกฎหมาย... ได้ไหม ไปได้ไหม”
คำพูดที่แสดงอำนาจบาตรใหญ่ของคนที่อ้างว่าเป็นอธิบดีศาลอาญาทุจริตภาค 8 โดยเฉพาะประโยคที่วิญญูชนได้ฟังแล้วถึงกับส่ายหัว เพราะคาดไม่ถึงว่าคนที่อุตส่าห์มีตำแหน่งสูงส่งจนเป็นถึงอธิบดีศาลอาญาทุจริตภาค 8 จะพูดออกมาก็คือ “ก็เป็นอธิบดี จะค้นรถไหม”
ขอโทษนะขอรับ การมีตำแหน่งอธิบดีนั้นมันใหญ่โตจนคับประเทศกระนั้นหรือ แล้วการที่ได้เป็นอธิบดีมันทำให้คุณไม่ต้องทำตามคำขอของตำรวจที่กำลังปฏิบัติหน้าที่โดยเคร่งครัด หรืออย่างไร หรือว่าอธิบดีมันคือตำแหน่งที่ได้รับข้อยกเว้นทางกฎหมาย หรือคุณจะบอกว่าอธิบดีคืออภิสิทธิ์ชน ถ้าเป็นเช่นนั้น รถยนต์ของคนที่อ้างดังกล่าวก็จะต้องติดป้ายอันโตๆ ความใหญ่ของป้ายประกาศน่าจะขนาดไม่น้อยกว่า 3 คูณ 3 ฟุต โดยระบุว่ารถยนต์คันนี้อธิบดีเป็นคนขับ เพราะฉะนั้นตำรวจไม่ต้องตรวจใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ หรือมิฉะนั้น คนที่อ้างเช่นนั้นก็ต้องสวมเครื่องแบบข้าราชการที่ระบุยศอธิบดีไว้ตลอดเวลาขณะขับขี่รถยนต์
อย่างไรก็ตาม คลิปที่แสดงเรื่องราวดังกล่าวนี้ ทำให้ปัญญาชนและวิญญูชนลงความเห็นตรงกันว่า นี่แค่เป็นเพียงอธิบดีเท่านั้นยังกร่างได้ถึงเพียงนี้ ถ้าเป็นปลัดกระทรวงจะกร่างสักเพียงไหน
เมื่อเห็นคลิปนี้แล้วก็ทำให้วิญญูชนย้อนกลับไปคิดถึงข่าวเรื่องลูกชายนักการเมืองใหญ่คับประเทศรายหนึ่งที่แสดงอิทธิฤทธิ์ใช้อำนาจโยกย้ายลูกหลานของตนจากทหารไปเป็นตำรวจ (ดูรายละเอียดจากข่าวชื่อ ชูวิทย์ อัดนักการเมืองใหญ่ ย้ายลูกจากทหารเป็นตำรวจ โดยไทยรัฐออนไลน์ 28 ก.ค. 2555 00.48 น.)
“ชูวิทย์” โพสต์เฟซบุ๊คร่ายยาว อัดเวรกรรมประเทศไทย นักการเมืองใหญ่ใช้อำนาจโยกย้ายลูกหลานตัวเองจากทหารมาเป็นตำรวจ มาคุมพื้นที่ทองคำ...
เมื่อวันที่ 27 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หน.พรรครักประเทศไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว ในชื่อ ชูวิทย์ I’m No.5 ความว่า วันนี้ได้ข่าวว่ามีการย้ายลูกนักการเมืองใหญ่ โดยแต่เดิมถูกให้ออกจากราชการเพราะพัวพันคดียิงตำรวจในผับ ต่อมาหนีคดีและมอบตัวติดคุกสู้คดีจนหลุด เมื่อพ่อได้เป็นใหญ่ ก็ได้กลับเข้ารับราชการเป็นทหารเหมือนเดิม แต่เท่านั้นยังไม่พอ ยังใหญ่ต่อไป วันนี้มีข่าววงในแจ้งมาว่าย้ายจากทหารไปเป็นตำรวจติดยศร้อยตำรวจโท
ประเทศไทยนักการเมืองถ้ามีอำนาจมันใช้กันไม่หมดไม่สิ้น สามารถทำอะไรก็ได้ ย้ายกลับเข้ารับราชการ ย้ายจากทหารมาเป็นตำรวจ แล้วลองคิดดูแล้วกัน ว่าเมื่อเป็นตำรวจแล้วจะทำอะไรได้บ้าง จะยิ่งใหญ่แค่ไหน แค่พูดกระซิบเบาๆ “มึงไม่รู้หรือว่ากูลูกใคร?”
ระเบียบการย้ายข้าราชการทหารไปเป็นตำรวจ ทำไมถึงง่ายดายเช่นนี้ จากนั้นเมื่อเป็นตำรวจแล้วคงไม่ได้เป็นตำรวจรถไฟ ตำรวจสุนัข แต่จะเป็นตำรวจในพื้นที่ทองคำหรือกองปราบ คุณคิดดูแล้วกัน เมื่อฟ้าเปลี่ยนสี นักการเมืองไทยทำได้ทุกอย่างเพื่อลูกหลานตัวเอง เวรกรรมประเทศไทย
ข่าวข้างต้นนั้นยังเป็นที่จดจำของคนในสังคมไทยตราบจนปัจจุบัน แล้วยิ่งเมื่อมาปรากฏคลิป “ผมเพื่อนโชค” ก็ยิ่งทำให้คนในสังคมไทยต่างเบะปาก ส่ายหัว ด้วยความสมเพช แต่เป็นความสมเพช เพราะว่ายังอุตส่าห์มีคนจำพวกนี้อยู่ในสังคมไทยอีก
อันที่จริงจะว่าไปแล้ว ต้องยอมรับว่าสังคมไทยยังมีคนคลั่งอำนาจอีกเป็นจำนวนมิใช่น้อย คนพวกนี้อัตตาสูงจนน่าวิตก และส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นคนมีปมด้อย เมื่อเขามีปมด้อยก็จึงต้องสร้างปมเขื่องมาปกปิดความด้อยของตน
คนมีปมด้อยพรรค์นี้ ภาษาทางพระท่านเรียกว่า ฉันเป็นฉัน ภาษาบาลีเรียกว่า อัสมิมานะ คือพวกยึดถือว่าตัวมี ตัวเป็น และมองว่าตัวมีความเด่นของตนเอง ซึ่งคนพรรค์นี้จะมีความอหังการ ซึ่งนับว่าเป็นปมเขื่อง (superiority)
“ฉันเป็นฉัน อัสมิมานะ อหังการ ปมเขื่อง” ถือได้ว่าเป็นมูลเหตุสำคัญของการทำความชั่ว แต่ในอีกมุมหนึ่ง หากใช้เรื่องเหล่านี้ในทางสร้างสรรค์แล้ว ก็จะทำให้คนจำพวกนี้สามารถทำความดีได้ด้วย (คือมมังการ) แต่ส่วนมากเท่าที่เห็นมักจะเป็นพวกทำชั่ว ทำเลว เสียมากกว่าทำความดี
ในเชิงจิตวิทยา ปมเขื่อง เป็นทั้งมูลเหตุ และเป็นทั้งปัจจัย สนับสนุนจรรโลงใจอันแรงกล้าที่สุด อันจะทำให้สัตว์โลกมีความยึดมั่น และพยายามรักษาความมีตัวตน และความเด่นของความมีตัวตน ที่เรียกว่า อหังการไว้อย่างมาก ความอหังการทำให้ไม่คำนึงถึงหัวจิตหัวใจของผู้อื่น หรือพูดให้ง่ายก็คือ อหังการทำให้นำไปสู่การทำชั่ว ทำบาปได้
อสฺมิมานสฺส วินโย เอตํ เว ปรมํ สุขํ แปลว่า การนำออกเสียซึ่งอัสมิมานะถือเป็นความสุขอย่างยิ่งยอด คือการทำจิตใจของเราไม่ให้ตกเป็นทาสการเลี้ยงรักษาปมเขื่องในตัวของเรา คนที่ทำได้เช่นนี้จะมีความสุขสันติโดยแท้จริง คนที่ไม่มีปมเขื่องจึงได้ชื่อว่าอยู่เหนือความดีความชั่ว และอยู่เหนือจากบุญและบาป รวมถึงเหนือโลกทั้งปวง ส่วนคนที่มีปมเขื่องคือคนเขลาที่เต็มไปด้วยอวิชชา
คนมีปมเขื่องก็เปรียบเสมือนปลากัด ไก่ชนหรือแม้กระทั่งหมาที่ชอบวิ่งรี่ไปกัดหมาตัวอื่น คนมีปมเขื่องมากๆ จะทนไม่ได้กับการปรากฏตัวของอีกฝ่ายหนึ่ง เพราะเข้าใจว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะเข้ามาทำให้ตนเองเกิดความด้อยกว่า เพราะฉะนั้น คนมีปมเขื่องสูงๆ จึงถือได้ว่าเป็นพวกไม่มีความมั่นใจในตัวเอง และเป็นพวกที่รู้สึกว่าตนเองไม่มีความปลอดภัย จึงต้องแสดงท่ายโส อหังการใส่ผู้อื่นตลอดเวลา พวกที่มีปมเขื่องจึงมีสัญชาตญาณแห่งการรุกรานคนอื่นตลอดเวลาด้วย และจะแสดงอาการรุกรานทันทีเมื่อมีโอกาส
สังคมใดก็ตาม หากมีสมาชิกจำนวนมากในสังคมเป็นคนมีสันดานอหังการเสียแล้ว สังคมนั้นจะมีแต่ความว้าวุ่น หาความสุขสงบโดยแท้จริงไม่ได้
หากจะพูดถึงในแวดวงการบ้านการเมือง ถ้าหากสังคมใดมีนักการเมือง และมีข้าราชการ รวมถึงมีพ่อค้าวาณิชที่มีสันดานอหังการสูงๆ มีปมเขื่องมากๆ บ้านนั้นเมืองนั้นก็จะเต็มไปด้วยทุรชนและทรราช บ้านเมืองก็จะหาความสงบสุขไม่ได้ ประชาชนจะเดือดร้อน เพราะถูกนักการเมืองสันดานอหังการสูบเลือดสูบเนื้อตลอดเวลา แล้วเมื่อประชาชนหมดความอดทน ความปั่นป่วนโกลาหลก็จะบังเกิดขึ้นในบ้านนั้นเมืองนั้น ซึ่งในสังคมไทยก็ได้ประสบกับสภาวการณ์ดังที่ว่านี้มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
ปรากฏการณ์อุบาทว์ “ผมเพื่อนโชค” และ “มึงรู้ไหม กูลูกใคร” คือสิ่งที่สาธารณชนในสังคมไทยจำเป็นต้องร่วมมือร่วมใจกำจัดมันให้หมดสิ้นไปโดยเร็ว แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องทำเป็นอันดับแรกคือต้องดับความอหังการ และต้องลบปมเขื่องในตัวของเราทุกคนเสียก่อน เพราะหากเรายังเป็นคนมีปมเขื่อง และมีความอหังการอยู่ในใจและในตัวของเรา ก็คงไม่สามารถทำให้สังคมไทยของเราปราศจากคนบ้าคลั่งอำนาจไปได้
#ร่วมเป็นคนไทยตื่นรู้สู้โกง
#ACTองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน